7.27.2553

annoying orange.

ไม่รู้ว่าสนุกตรงไหน น่ารำคาญแต่ก็ดู.




คนทำมีปมอะไรบางอย่างแน่ๆ แรกๆจะดูแล้วเครียด อยากจะจับมาคั้นน้ำให้บี้คามือ แต่หลังๆจะเริ่มโรคจิตตามมันและติดใจ รู้ตัวอีกทีก็ไปตามดูบ้านเค้าทุกวันศุกร์ซะแล้ว หลงรักเจ้าส้มหัวกลมๆ :)



อันนี้เป็นสุดยอดความ annoy

wazabbbbbbbbbbbbbbbbbbbbbbbbbbbbbbbb!!!!!!!!!!

7.25.2553

ความสุข

'วันนี้มีความสุข'


ขนมปังตอนเช้า


เวลาที่มีความสุขเรามักจะเห็นอะไรเป็นรอยยิ้มได้ง่ายกว่าปกติ เป็นไปได้ว่าเพราะเรามองโลกในแง่ดีขึ้น รู้สึกว่าโลกใจดีกับเรามากขึ้น และในทางกลับกัน เราก็จะรู้สึกอยากทำตัวดีๆน่ารักๆกับโลกใบนี้มากขึ้นด้วยเช่นกัน เชื่อว่าวิธีมีความสุขของทุกคนต่างกัน สำหรับเราเวลามีความสุข เรามักจะยิ้มให้คนมั่วซั่ว ตลก พูดเพราะ มีความคิดสร้างสรรค์ และมีไฟกับเรื่องความฝันมากขึ้น.


ยิ้ม แยม

มีความสุขที่ได้สิ่งสำคัญของความรู้สึกกลับมาถึงสองอย่างในวันเดียวกัน อย่างแรกเป็นความรักเล็กๆที่กลับมานอนสงบนิ่งอยู่ในมุมแคบของมันอีกครั้ง ส่วนอีกอย่างเป็นความฝันใหญ่ๆที่ตื่นซักทีหลังจากหลับไปนาน ส่งผลทำให้วันนี้ใจเต้นเสียงดังฟังชัดมากเป็นพิเศษ 98% ภายในตัว celebrate ยินดี.

เหลือ 2% ไว้สำหรับความทุกข์
ความทุกข์ของวันที่มีความสุข ก็คือความกลัวที่จะเสียความสุขนั้นไป.

:)

7.24.2553

มายแมว

จริงๆแล้วสมาชิกทุกคนในบ้านเรารักหมา และไม่เคยคิดที่จะเลี้ยงแมวกันมาก่อนเลย เราเคยเลี้ยงหมากัน แต่พอมาถึงช่วงที่ทุกคนต่างคนต่างยุ่ง ไม่มีใครคอยดูแลมัน ก็จำต้องยกให้คนอื่นไป จากนั้นเราก็ไม่ได้หาสัตว์เลี้ยงใหม่กันอีก หันมาพยายามเลี้ยงและดูแลสมาชิกในครอบครัวให้ทั่วถึงกันเองก่อน

จนวันนึง ก็มีฟ้าประทานแมวเทพมาหาเรา :)


ได้ปลอกคอลายเต่าทองน่ารักมาใส่อยู่ช่วงนึง ก่อนจะถูกกัดขาดกระจุย

เป็นเทพเจ้าแห่งความหน้ามึน อยู่ดีๆมันก็โดดเข้ามานั่งที่ระเบียงบ้าน ทุกคนดี๊ด๊าตื่นเต้นไปเล่นลูบๆคลำๆ เพราะคิดว่ามันคงอยู่ประเดี๋ยวประด๋าว ที่ไหนได้ เล่นตีเนียนเข้ามานั่ง มากิน มานอนซะเฉย แล้วบ้านเราก็กลายเป็นบ้านมันไปโดยปริยาย ไล่ก็ไม่ไป หน้ามึนมาก สุดท้ายก็เลยต้องซื้อกระบะทราย จานอาหาร ถ้วยนมมาให้ กลายเป็นว่าอยู่ๆก็มีสัตว์เลี้ยงขึ้นมาซะอย่างนั้น

แม่เห็นว่ามันขาวสะอาดดีเลยเรียกมันว่า 'ขาวปลอด' ชื่อดูเป็นแมวไทยผู้ดีมากแต่เรียกกันอยู่ได้ไม่ถึงอาทิตย์เพราะควบกล้ำยากเหลือเกิน เรียกกันแต่ละทีนี่ต้องบรรจงมาก สุดท้ายน้องขาวปลอดก็เลยเหลือแค่ 'ปอด' เฉยๆ คนมาฟังจะงงๆว่าทำไมชื่อนี้ ก็ต้องเท้าความให้ฟังว่ามันเคยมีที่มาที่หรูหรามาก่อน ปอดมาตั้งรกรากและหาสามีอยู่ในแถบภูมิภาคบ้านเรานี่เอง จนปัจจุบันนี้มันมีลูกไปสองครอกแล้ว เราก็ยังไม่เคยได้เห็นลูกเขยของเราเลย ท่าทางจะเป็นไอ้หนุ่มนักผจญภัย

ครอกแรกแจกจ่ายญาติๆและเพื่อนพ้องของพ่อแม่ไปจนเหลือผู้โชคดี (หรือโชคร้ายไม่รู้)


เป็นแมวที่ขี้อ้อนและขี้บ่นมากๆ

เจ้านี่อยู่ที่บ้านตัวสุดท้าย เป็นตัวผู้ที่เคยมีชื่อสวยหรูเหมือนกันว่า 'ลายเมฆ' แต่จนบัดนี้เราก็ไม่รู้ว่ามันจะเคยรู้ตัวไหมว่าตัวเองมีชื่อดีๆกับเค้าเหมือนกัน เพราะได้ยินแต่ ไอ้ลายๆ (ไม่ก็ อีลายๆ) มาตั้งแต่จำความได้


จมูกสีชมพู น่ารัก :)

น้องเล็กของบ้านเป็นลูกครอกที่สองที่เหลือจากการแจกจ่ายเช่นกัน เราเลือกมันเก็บไว้เพราะเป็นตัวผู้ จะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องมีลูกสาวแล้วเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้านอย่างที่โบราณเค้าว่า ตัวนี้ได้เชื้อแม่มาเต็มๆเลยขาวทั้งตัว แต่พิเศษกว่าชาวบ้านชาวแมวเค้าตรงที่มีตาสองสี ข้างนึงเป็นสีฟ้า อีกข้างเป็นสีเหลือง เคยชื่อไดมอนตอนแรกเกิดเพราะเป็นแมวตาเพชร (ตามที่แม่เค้าว่า) ปัจจุบันชื่อ ไอ้ม่อน ตามที่ทุกคนสะดวกปากเรียกกัน


ไอ้ม่อนติดแม่เรามาก จะเดินตามตลอดเวลาและมองด้วยแววตาวิงวอน

เจ้าพวกนี้ทำให้เราเชื่อว่า โชคชะตามีหน้าที่ของมันจริงๆ
อะไรที่ควรมาพบกัน สักวันมันก็จะมาพบกัน :)


รูปนี้กดได้โดยบังเอิญ ชอบโทนสี

7.22.2553

วันฝนตก

หลายคนชอบอากาศหนาว บางคนชอบอากาศร้อน แต่แค่ไม่กี่คนที่ชอบอากาศชื้น
หลายคนชอบความสนุก บางคนชอบความสงบ แต่มีไม่กี่คนก็ชอบ ความเหงา.


ต้นไม้ข้างหน้าต่าง

วันไหนฝนตก ฟ้ามืด อากาศเย็นๆจะชวนให้รู้สึกเหงาเป็นพิเศษ แต่ก็ชวนให้เรารู้สึกชอบเป็นพิเศษเช่นกันเคยเก็บมานั่งสงสัยดู คิดว่าบางทีเราอาจไม่ได้ชอบที่เจ้าตัวความเหงาก็ได้ แต่ชอบที่เวลาแบบนี้คงมีคนเหงาอยู่เยอะกว่าเวลาอื่น การได้รู้ว่ามีคนเหงาอยู่เหมือนๆกัน มันก็ช่วยให้ในความเหงาอบอุ่นขึ้นบ้างคล้ายๆที่เค้าว่า
'หนามยอกก็ต้องเอาหนามบ่ง' (เหมือนจะเกี่ยวและเหมือนจะไม่เกี่ยว)


ลองปรับให้เป็นสีเทา

นั่งกดกล้องเพลินๆอยู่ข้างหน้าต่างสตาร์บัค มีความสุขที่รู้สึกว่าโลกของตัวเองกำลังหมุนช้ากว่าคนอื่น นั่งดูคนวิ่งผ่านหน้าต่าง มีร่มหลายสีอยู่บนถนน ถ้าได้มองจากมุมสูงคงจะสวยน่าดู เวลาฟ้าเป็นสีเทา เวลาที่ห่าฝนทำให้เรามองเห็นไม่ค่อยชัด อะไรๆมักดูสวยกว่าความเป็นจริง (แม้แต่ตัวเอง ฮ่าๆ)


เงารางๆข้างนอกน่าสงสัยดี ทั้งที่ถ้ามันชัดก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันสวยเลย


นั่งมองไปเจอโรงหนังสยามที่โดนเผาไปหมดเเล้ว มองลึกเข้าไปในความมืดที่คิดว่าชอบ แต่แบบนี้กลับไม่ใช่ 'ซาก' พวกนี้ทำให้เห็นเส้นบางๆของความรู้สึกที่เรารัก และ เกลียด ความต่างของความเหงา กับความวังเวง มันคล้ายกันมาก แต่ก็ต่างกันมากด้วยเหมือนกัน



ข้างในยังคงมีร่องรอยเดิมๆที่เราเคยเดินผ่าน แต่ก็พังจนแทบจำไม่ได้

โรงหนังสยามมีแต่กลิ่นของความหลังกับความวังเวง ทุกครั้งที่เดินผ่าน รู้สึกเหมือนมีเสียงร้องไห้ดังออกมา ไม่ใช่แบบหนังสยองขวัญนะ แค่รู้สึกว่าโรงหนังกำลังร้องไห้ แค่รู้สึกว่ามันอยากกลับมา เราก็อยากให้มันกลับมาเหมือนกัน แม้จะไม่ได้ดูหนังที่นั่นบ่อย อุดหนุนของเค้าไม่มาก แค่เดินผ่านทุกวัน แต่ก็อดคิดถึงไม่ได้

เรามักไม่รู้ว่าเราผูกพันกับอะไร จนกว่ามันจะหายไป แล้วใจเราหายตามไปด้วย.


คิดถึง.


ฟังเพลงนี้ไม่ว่าเวลาไหนก็รู้สึกเหมือนได้แตะกระจกเย็นๆตอนฝนตก ผู้หญิงคนนี้เสียงดีจัง :)



someday it ould lead me back to you.

7.19.2553

ฮ่องกงนอกห้องกรง

'สถานที่บางที่ มีเสน่ห์ตรงที่เรามีเวลาอยู่กับมันน้อยนิด'


ก่อนที่เราจะกลายเป็นคนที่เคยไปฮ่องกง เราก็เคยเป็นคนที่ไม่เคยไปฮ่องกงมาก่อน และก่อนจะเป็นคนไม่เคยไปฮ่องกง เราก็ยังเคยเป็นคนที่ไม่รู้จักฮ่องกงมาก่อนอีกแน่ะ ถ้าพูดถึงเป็ดปักกิ่งนี่รู้จัก บ่อนมาเก๊าก็พอรู้จัก ชาจีนนี่รู้ หมูเกาหลีก็รู้จัก เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้รู้จัก กายกรรมกวางเจารู้จัก หรือกายกรรมเปียงยางก็ยังพอเคยได้ยิน แต่ฮ่องกงล่ะ...มันมีอะไรวะ (มารู้ทีหลังว่ามีโจ๊กฮ่องกงกับทาร์ตไข่ฮ่องกง แต่ยังไงมันก็ยังดูไม่ signature เท่าอันอื่นๆที่ว่ามาอยู่ดี) เลยลองไปถามคนอื่นเค้าดู ได้คำตอบมาว่า 'ฮ่องกงมันต้องช๊อปปิ้ง'

อ้อ...เออ จะจำไว้ว่าฮ่องกงช๊อปปิ้ง


นานโขต่อมาจึงมีบุญได้ไปฮ่องกงกับเค้าบ้าง ตอนที่เราจะไปนี่เค้ามีดิสนีย์เเลนด์เพิ่มมาอีกอย่างแล้ว เราก็ท่องในใจไปว่าฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ ช๊อปปิ้ง ดิสนีย์แลนด์ ช๊อปปิ้ง ดิสนีย์แลนด์ ช๊อปปิ้ง...เตรียมเงินไปถลุงเต็มที่กะว่ากลับมานี่สมแมน (ชื่อกระเป๋าเดินทางใบที่เอาไป)ได้ลูกเพิ่มมาอีกสองสามใบเเน่ๆเชียว


สรุปกลับมาบ้านสมแมนก็หงอยเหงาเดียวดายกลับมาใบเดียว ส่วนเราหน้าหดกลับบ้านเงินเหลือบานเต็มกระเป๋า จนแม่ถึงกับออกปากถามว่าไม่สนุกหรือยังไง ท่าทางว่าจะกลัวเสียหน้าเพราะโฆษณาไว้เยอะว่าเราต้องชอบแน่ๆยิ่งกว่าแช่แป้ง (แล้วแช่แป้งมันแน่ยังไง)


จริงๆแล้วสนุก สนุกจนหงอยที่ต้องกลับบ้านเลยทีเดียว แต่ไม่ได้สนุกแบบระเริงช๊อปดังที่คาดไว้ แต่สนุกแบบตกหลุมรัก แม่หยิบกล้องมาเปิดดูเห็นแต่รูปสวน ทางเดิน ต้นไม้ บ่นกระปอดกระแปดว่าไม่มีรูปคนเลยแล้วก็ปิดกล้องไป อุตส่าห์หวังดีส่งพี่ที่เป็นญาติๆกันไปกับเราอีกคนท่ามกลางทัวร์คนแก่ของเพื่อนๆแม่ แกกะว่าให้ไปเป็นบัดดี้ช่วยถ่ายร่งถ่ายรูปให้ เห็นเราเป็นลูกอีช่างโพส สรุปว่าได้ไปเป็นแค่เพื่อนนั่งเรือบิน เท้าแตะพื้นเกาะฮ่องกงปุ๊บเราก็ระเริงลอยหายไปกับหมอก

บางทีการชอบเดินคนเดียวก็เป็นนิสัยที่ไม่ค่อยดีนักนะ มันอาจทำให้ใครเหงาโดยไม่รู้ตัวก็ได้.


รักแรกของเราในฮ่องกง 'สวนสาธารณะเกาลูนพาร์ค'

ภาพแรกที่ขึ้นไปเราเจอเจ้านี่

หลงรักอะไรก็ไม่รู้ที่นี่ เจ้าสวนนี้อยู่บนหลังคาร้าน stand alone ที่เรียงเป็นแนวบนถนนนาธาน มันดูไม่น่าจะอยู่ตรงนั้นแต่มันก็อยู่ มันดูไม่น่าจะเรียกว่าสวยอะไรมากมาย แต่มันก็มีอะไรบางอย่างที่ทำให้อยากนอนคลุกอยู่ที่นั่น เสพย์อากาศเย็นๆ มองดูอาม่าอากงชาวจีนเล่นไทเก๊ก ครอบครัวพาลูกเด็กเล็กแดงมาเล่นของเล่นในสวนสาธารณะ เด็กวัยรุ่นกำลังซ้อมว่ายน้ำ คู่รักจู๋จี๋กัน ทั้งหมดนี้เกิดในเวลาห้าทุ่ม..


ตรงนี้เป็นอัฒจรรย์ข้างๆสระว่ายน้ำ โปร่งมาก ลมเย็นๆโกรกมาก และมีความทรงจำที่ดีมาก

คนที่นี่ใช้ชีวิตกลางคืนในสวนสาธารณะกันเยอะดี เป็นคนไทยห้าทุ่มก็จะอยู่ตามผับไม่ก็หลับกันแล้ว


เก้าอี้มุมนี้เหงาสุดๆ ข้างๆนี้มี homeless นอนอยู่ เรายิ้มให้เค้า เค้ามองงงๆ

สี่วันที่อยู่ในฮ่องกง พยายามจะเดินซื้อของ แต่ก็หลงมาที่นี่ทุกวันเลย แถมวันที่สองเดินหลงหนักไปถึง star venue เป็น shock space สำหรับเรา เพราะมันซ่อนอยู่หลังโรงแรม ทีแรกเดินเข้าไปเพราะคิดว่าเป็นสวนอะไรสักอัน ปรากฏว่ามันเป็นที่เที่ยวดังของที่นี่อีกแห่งนึง แต่เราไม่รู้เพราะไม่ได้ศึกษามาก่อน เป็นทางเดินริมทะเลที่ปกติจะมองเห็นไฟแสงสีของเมืองฮ่องกงอีกฝั่งเกาะหนึ่ง แต่วันที่เราไปหมอกจัดมาก ไม่เห็นตึกเห็นไฟอะไรเลย เป็นเงาสีๆรางๆ แต่เรากลับชอบแบบนี้มากกว่า มันดูสวยและเหงาดี


star avenue



ทางเดินยาวๆ บรรยากาศเหงามาก

ที่นั่นเราเจอใครคนนึง เป็นการพบกันแบบบังเอิญที่มีความสุขมาก ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสี่ชั่วโมง เป็นสี่ชั่วโมงที่มีความสุขก่อนจะแยกย้ายกันไป เราตัวลอยๆเหมือนฝัน ไม่รู้ว่าจริงไม่จริง จนวันต่อมาต้องเดินกลับไปตามทางเดิม ย้อนรอยไปดูว่าที่ตรงนั้นมันมีอยู่จริงไหม กลับไปซึมซับความทรงจำก่อนกลับบ้าน


ภาพตอนกลางวัน ถ่ายตอนสายของอีกวันนึงที่เดินย้อนกลับไป



รูปนี้ถ่ายยากมาก ต้องตั้งเวลา วางกล้องบนกระเป๋าไม่ให้มันเอียง แถม
ต้องวิ่งเอาหัวมุดใต้ราวออกไปนั่งแอคท่าให้ทันเวลา เสียวตกอีกต่างหาก




เมืองไกลๆ

เพราะแบบนี้แหละ กลับมาถึงได้เหงาๆ


แต่จริงๆแล้วเราอาจหลงรัก เกาลูนพาร์ค เพราะเรามีเวลาอยู่กับมันน้อยนิดก็ได้
ถ้าเราได้อยู่กับมันอีกสักเดือน มันก็คงไม่ต่างอะไรกับสวนลุมล่ะมั๊ง


ภาพวันสุดท้ายก่อนกลับ คุณตาคุณยายคู่นี้น่ารัก



มันน่ารัก มันมีคุณค่าเพราะมันมีเวลาจำกัด

:)


7.18.2553

ตัวของตัวเอง

เคยมีน้องแถวบ้านบอกไว้เมื่อนานมาแล้วว่า
'เรียนถาปัตย์นี่เท่ห์เนอะพี่ ดูเป็นตัวของตัวเองดี'
พอนึกถึงอยู่ๆก็เกิดสงสัยในความเป็นตัวของตัวเอง
สงสัยว่าตัวของตัวเองนี่มันคือตัวของใครกันแน่.
แล้วจริงๆคนเราควรจะเป็นตัวของตัวเองมั๊ย.


เดินไปเจอพี่หัวกรุงเทพฯคนนี้ที่ทางเข้าสยามเซ็นเตอร์.



แว๊บแรกที่เห็นถึงกับต้องคว้ากล้องมาถ่ายเก็บไว้ คิดอยู่ว่าในใจว่า
'เชี่ยยยย...นี่แหละตัวของตัวเอง' (เป็นความจริงเสมอที่บางทีความคิดในใจก็ไม่ใช่สิ่งสุภาพเท่าไหร่)

แล้วถ้าเกิดว่าจริงๆแล้วเค้าตัดผมทรงนี้เพราะแฟนบังคับล่ะ คงต้องกลายเป็นเป็นตัวของตะเองง (แบบที่เวลาคนเป็นแฟนเค้าเรียกกัน) หรือถ้าตัดเพราะเพื่อนบอก เค้าก็คงเป็นตัวของเพื่อน หรือถ้าถูกช่างทำผมล่อลวงมาว่าหล่อ เค้าจะยังเป็นตัวของตัวเองอยู่รึเปล่า..


คงไม่ใช่แล้ว งั้นเราจะรู้ได้ไง ว่าใครเป็นตัวของตัวเองหรือไม่เป็น.




เราเคยทำ targeting ในวิชา textile II โดยเขียนไปว่า

'เลือกกลุ่ม target เป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองและชอบอะไรไม่เหมือนใคร'

มาถึงวันนี้เพิ่งรู้สึก ว่ามันผิดชัวร์ๆ เพราะเรื่องแบบนี้วัดด้วยตามองไม่ได้แฮะ คนที่ไม่เหมือนใครไม่ใช่คนที่เป็นตัวของตัวเองเสมอไปหรอก ในบางครั้งตัวของตัวเราอาจจะเหมือนตัวของคนอื่นก็ได้ และบางทีการไม่อยากเหมือนใคร ก็อาจเป็นเพราะอยากเป็นเหมือนใครก็ได้เช่นกัน

(งงล่ะสิ)

อ่ะ...สมมติ คนที่ชอบ d2b ม๊ากมาก ชอบอย่างจริงจังและจริงๆ เค้าก็เป็นตัวของตัวเอง แต่ดันเหมือนตัวของคนอื่นอีกเต็มไปหมด เลยดูไม่เป็นตัวของตัวเอง ในทางตรงกันข้ามสมมติบางคนบอกว่าชอบวง teddy scar เออ..ไม่เหมือนใครเท่าไหร่ บอกใครคนจะงงๆ ไม่ค่อยรู้จัก ดูคูลและเป็นตัวของตัวเองไปโดยปริยาย แต่ถ้าจริงๆเค้าชอบตามเฮียข้างบ้านล่ะ ชอบเพราะอยาก look cool บ้าง จริงๆก็ไม่ได้ซาบซึ้งกับเพลงเค้าเท่าไหร่ แบบนี้เค้าเป็นตัวของใครกันแน่..

แล้วอย่างคนที่กล้าจอดรถขวางคนอื่นในลานจอดรถล่ะ คนที่ทิ้งขยะบนถนนล่ะ คนพวกนี้ก็เป็นตัวของตัวเองนะ เป็นตัวของตัวเอง เพื่อตัวเอง เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เต็มรูปแบบเลย แต่เป็นแล้วสร้างปัญหา แบบนี้ก็ไม่ควรจะเป็นอยู่แล้วจริงไหม.

สุดท้ายจะสาวกดีทูบี อินดี้แบบเท็ดดี้สการ์ เจ๋งคูล หรือซ้ำๆกับใคร อยากเป็นอะไร เป็นแบบใครก็เป็นไปเถอะ เคยได้ยินหลายคนสอนว่าให้เป็นตัวของตัวเอง แต่สุดท้ายเราคิดว่าเป็นตัวของใครก็ไม่สำคัญ แต่เป็นตัวที่เราพอใจ แล้วก็ไม่สร้างปัญหาให้ 'ตัวของคนอื่น' ก็พอแล้ว พอมานั่งเขียนบล๊อกหน้านี้ถึงเพิ่งสังเกตว่า จริงๆแล้วความเป็นตัวของตัวเอง กับความเห็นแก่ตัวเอง มันเป็นญาติกันนี่นา

ไม่ต้องเป็นตัวของตัวเองมาก
แล้วลองใส่ใจตัวของคนอื่นให้มากขึ้น
บางทีอาจจะมีอะไรดีๆก็ได้

:)


เดินไปอีกซักพัก แล้วก็เจอเธอคนนี้.



('เจ๋งโคตร' เคยนึกอยากทำอะไรแบบนี้อยู่เหมือนกัน)
อยากลองตัดเกรียนๆแล้วย้อมมันซักห้าสี แต่คงแพงค่าสีน่าดูไม่มีตังค์ไปทำ
นอกจากจะบ้า จะกล้า บางทีก็ต้องรวยควบคู่ด้วยเหมือนกัน


สุดท้ายอันนี้ตลกดี เป็นตัวของตัวเองไปอีกแบบ.